เอาสาระ
ถาม–ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “เวียนเทียนวันอัฏฐมีบูชา เวียนซ้ายหรือเวียนขวาเจ้าคะ”
วันนี้เป็นวันพระ โยมมาที่วัดเพื่อใส่บาตรและถือศีล ได้ยินพระแจ้งว่า วันนี้เป็นวันอัฏฐมีบูชา มีการเวียนเทียนตอนสองทุ่ม แต่โยมไม่อยากรอรอบดึก เลยว่าจะไปเวียนเทียนตอนเช้าเลย ปรากฏว่าโยมเห็นเขาเวียนซ้าย เลยเข้าไปถามเขาว่า ไม่เวียนขวาหรือคะ
เขาตอบว่า แม่ชีบอกว่าวันนี้วันอัฏฐมีบูชา ให้เวียนซ้าย
โยมเลยอยากกราบเรียนถามพระคุณเจ้าเรื่องนี้เจ้าค่ะ
ตอบ : เรื่องอยู่ข้างนอกนู่นน่ะ มันเข้ามาวัดนี้จนได้
เวียนซ้ายหรือเวียนขวานี่นะ โดยธรรมชาติของเรา เราเวียนเทียนเราก็เวียนขวากันทั้งสิ้น แต่คำว่า “เวียนซ้าย” เวียนซ้ายเราก็ไม่เคยได้เห็นเหมือนกัน
แต่นี่เขาบอกว่าเวียนซ้ายโดยที่แม่ชีบอก คำว่า “แม่ชีบอก” พอแม่ชีบอกวันนี้วันอัฏฐมีบูชา อัฏฐมีบูชาเขาจะเวียนซ้าย
ไอ้นี่ก็เป็นความเห็นของเขา ความเห็นของเขานะ อันนี้เป็นประเพณีวัฒนธรรม ถ้าเป็นประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีแต่ละท้องที่ไม่เหมือนกัน
อีกอย่างหนึ่ง ตำนาน เวลาว่าเป็นตำนาน พระพุทธเจ้าเสด็จมาที่นั่น พระพุทธเจ้าเสด็จมาที่นี่ ตำนานในภาคอีสานมีมากมายมหาศาล
คำว่า “ตำนาน” ผู้หลักผู้ใหญ่คนโบราณเขาได้ปลูกตำนานนั้นไว้ แล้วถ้ามันมีสิ่งที่ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างต่างๆ ว่าเป็นตำนาน เวลาตำนาน ตำนานก็เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความน่าเคารพเชื่อถือ ให้เป็นตำนาน
แล้วถ้าเป็นประเพณี ประเพณีก็เป็นประเพณีท้องถิ่น ประเพณีท้องถิ่นแต่ละประเพณีนะ แม้แต่วันเข้าพรรษาออกพรรษา ดูสิ วันเข้าพรรษาทางภาคอีสาน เข้าพรรษาเขาประกวดเทียนเข้าพรรษา เวลาออกพรรษาทางภาคใต้ ภาคใต้เขาออกพรรษานะ เป็นประเพณีชักพระ ชักพระตอนออกพรรษา นี่ไง ประเพณีแต่ละพื้นที่แต่ละภาคก็ไม่เหมือนกัน
คำว่า “ประเพณีท้องถิ่นๆ” แต่ถ้าเป็นประเพณีท้องถิ่นเขาเป็นคุณงามความดีของเขา ทางภาคอีสานนิยมมาก แห่พระเวส พระเวสสันดรเข้าเมือง นี่บารมีสิบทัศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาแห่พระเวสเขาว่าได้บุญใหญ่เพราะพระเวสสันดรจะเข้าเมือง พอเข้าเมืองแล้วได้มาเป็นกษัตริย์อีกจนหมดอายุขัยไป มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
เวลาประเพณีวัฒนธรรมก็เพื่อการสร้างบุญสร้างกุศล ถ้าเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลนะ มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม แล้วถ้าเป็นประเพณีท้องถิ่นก็เรื่องประเพณีท้องถิ่น
แต่ถ้าเราแบบว่า การเวียนเทียนวิสาขบูชา วิสาขบูชา มาฆบูชา อาสาฬหบูชา ถ้าเป็นสังคม สังคมหรือว่าทางโลกเขาไม่สนใจ
เรื่องนี้มันก็มีอยู่ในพระไตรปิฎก อยู่ในตำราเท่านั้น วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา มาฆบูชา เริ่มต้นมาตั้งแต่พระจอมเกล้าฯ พระจอมเกล้าฯ มาฟื้นฟู ถ้าฟื้นฟู เวลารบทัพจับศึก เวลาแว่นแคว้นต่างๆ เป็นเมืองขึ้น โดนกดขี่
ดูสิ ดูลังกาสิ ลังกาตอนอังกฤษเข้ามาปกครอง ศาสนาพุทธทั้งเกาะเลย เหลือเณรองค์เดียว หมดเกาะเลยนะ มาขอพระจากเมืองไทย สยามวงศ์ สยามวงศ์ไปบวชขึ้นมาเป็นสยามวงศ์อยู่ที่ลังกาทวีป
ลังกาทวีปเป็นดินแดนพระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่เพราะอะไร ยิ่งใหญ่เพราะพระเจ้าอโศกส่งทั้งลูกมาเผยแผ่ที่ลังกา เลยเป็นความที่เข้มแข็งขึ้นมา ในอินเดียหมดไปแล้ว พอในอินเดียหมดไป เวลาหมดไป หมายความว่า มีข้าศึก มีการทำลายล้างจนศาสนาหมดไป ต้องมาฟื้นฟูเอาในลังกา
ลังกา ลังกาวงศ์ ลังกาวงศ์มาตั้งแต่นครศรีธรรมราชขึ้นมาสุโขทัย แล้วเวลาถึงลังกา ถึงคราวยุคเป็นเมืองขึ้น เมืองขึ้นก็มีลัทธิศาสนาอื่นมาเหยียบย่ำทำลาย ทำลายขึ้นมาจนเหลือสามเณรองค์เดียว แล้วก็ฟื้นฟูขึ้นมาๆ
นี่พูดถึงว่า ถ้ารบทัพจับศึกจนสูญสลายไป ศาสนาหมดสิ้นไป แล้วเวลาฟื้นฟูขึ้นมาๆ ผู้ที่มีอำนาจวาสนาเข้ามาฟื้นฟู วันเข้าพรรษา วันวิสาขบูชา เราก็มาเจอตอนนี้ แล้วก็ผูกไปเลย ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานมา ๒,๐๐๐ กว่าปี อู้ฮู! ศาสนาเป็นอย่างนี้ๆ...ไม่ใช่
มันล่มสลายไป แต่ละแว่นแคว้นล่มสลายไปแล้วล่มสลายไปเล่า แล้วดูสิ ในเมืองไทยพิมพ์พระไตรปิฎกสำเร็จตั้งแต่สมัย ร.๕ เท่านั้นน่ะ ร.๕ พิมพ์พระไตรปิฎกครบ ๔๕ เล่ม ก่อนหน้านั้นโดนเผาแล้วเผาอีก เผาแล้วเผาอีก จนคอยเก็บตำรับตำราจารึกกันมา กษัตริย์ที่ฉลาด กษัตริย์ที่เป็นพุทธมามกะพยายามฟื้นฟูๆ
นี่พูดถึงว่าเป็นประเพณีวัฒนธรรม ฉะนั้นบอกว่า ถ้าวันอัฏฐมีบูชาจะเวียนซ้ายหรือเวียนขวา
เวียนซ้ายเวียนขวามันก็เป็นประเพณีวัฒนธรรม ถ้าเป็นประเพณีวัฒนธรรมนะ เราอยู่กับหลวงตามา หลวงตาท่านไม่มี หลวงปู่มั่นก็ไม่มี
การเวียนเทียนมันเป็นประเพณีวัฒนธรรมใช่ไหม ใช่ การบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ธูปเทียนมันเป็นบุญเป็นกุศลทั้งนั้นน่ะ แต่มันเป็นเรื่องระดับของทาน ระดับของชาวบ้าน ระดับสังคมประเพณีวัฒนธรรมเพื่อความมั่นคงในพระพุทธศาสนา เราเห็นแล้วเราชื่นใจไหม
เราชื่นใจนะ เราเห็นประเทศมันมีวัฒนธรรมนะ ประเทศมีคนเชิดชูบูชา เคารพบูชาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราชื่นใจไหม เราชื่นใจ แต่เราทำไหม ไม่ทำ เพราะเราอยู่กับหลวงตา ท่านไม่ให้ทำ ถ้าเวียนเทียน เราเวียนในหัวใจเลย นั่งสมาธิไป ๓ คืน ตลอดรุ่ง ๓ คืนเลย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่นน่ะปฏิบัติบูชา
หัวใจที่ยิ่งใหญ่ หัวใจนี้สำคัญมาก
หัวใจที่ยิ่งใหญ่ หัวใจนี้สำคัญมาก เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา อันนั้นมันเป็นความเชื่อ เป็นความเชื่อ เป็นความเคารพความบูชา เป็นการเคารพตนนะ
เวลาคนมาทำบุญๆ เราเห็นว่าเป็นการเคารพตัวเราเอง ถ้าเคารพตัวเราเอง เราจะหาคุณงามความดีเพื่อตัวของเรา ถ้าเคารพเราแล้วเราก็เคารพคนอื่นได้ ถ้าเราไม่รู้จักตัวเราเอง เราไม่เคารพตัวเราเองเลย เราจะไปเคารพคนอื่นได้อย่างไร
ถ้าเราจะเคารพตัวเราเอง เราจะหาสิ่งที่ดีงามเพื่อให้ตัวของเรา เรามาวัดมาวามาทำบุญกุศลขึ้นมาด้วยการเคารพตน บังคับให้ตนมาทำ อะไรสิ่งที่เป็นความดีงาม บังคับให้ตนมาทำ ถ้ามันยังไม่อยากทำ บังคับตนให้ทำๆ ทำจนเป็นจริต ทำจนเป็นนิสัย
ความดีที่ยิ่งกว่านี้ยังมีอยู่ ความดีที่ยิ่งกว่านี้ยังมีอยู่ ความดีที่สุดยอดยังมีอยู่
ความดีมันคืออะไร
ความดีของสุขภาพกายที่แข็งแรง สุขภาพจิตที่แข็งแรง สุขภาพที่แข็งแรง สุขภาพจิตพยายามทำความสงบของใจเข้ามา พอใจสงบระงับเข้ามาเป็นสัมมาสมาธิเข้าถึงใจของตน เวลาเข้าถึงใจของตนเป็นสมาธิ
ทุกลัทธิศาสนาก็สอนสมาธิๆ แต่สมาธิในพระพุทธศาสนา ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิเป็นสัมมาสมาธิ พอสัมมาสมาธิคือว่าจิตที่มีกำลัง จิตที่ไม่ส่งออก
จิตที่ไม่ส่งออก ถ้ามีกำลังพอแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่วิปัสสนา คือจิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความจริง ที่ว่าแนวทางสติปัฏฐาน ๔ การประพฤติปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ในสติปัฏฐาน ๔ มีกาย มีเวทนา มีจิต มีธรรม
แต่คนที่ภาวนาไม่เป็นนะ “ก็พิจารณากายสิคะ พิจารณากายสิคะ”
พิจารณากาย ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ไม่มีสติปัฏฐาน ๔ ในร่างกายไม่มีสติปัฏฐาน ๔ ในเวทนาความเจ็บปวดไม่มีสติปัฏฐาน ๔ ในจิตไม่มีสติปัฏฐาน ๔ ในกายไม่มีสติปัฏฐาน ๔ ไม่มีหรอก ไม่มี ไม่มีเพราะอะไร ไม่มีเพราะว่าทำสมาธิไม่เป็น ทำสมาธิไม่ได้ จิตมันไม่สงบระงับ
พอจิตสงบระงับ สัมมาสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลๆๆ ศีลคือรั้วของใจ รอบรั้วของใจ ไม่ให้คิดนอกเรื่องนอกราว ไม่ให้ใจไปพูดโกหกมดเท็จกับใคร ไม่ให้ใจคิดฉกฉวยของใคร เห็นไหม
มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง เวลาพูด พูดธรรมะ เวลาจิตใจคิดแต่จะเอาชนะคะคานคนอื่น
นี่ไง สิ่งที่ว่าศีล ศีลคือความปกติของใจ พอทำความสงบของใจเข้ามา ใจเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมาแล้ว ถ้าน้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความจริง เห็นเพราะอะไร เพราะจิตเห็น จิตเป็นสัมมาสมาธิ จิตเป็นสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน
พอฐานที่ตั้งมีการมีงานของตนทำ แล้วถ้ามีสถานที่ทำงานแต่ทำงานไม่เป็น เพราะมันไม่เห็นกาย ไม่เห็นเวทนา ไม่เห็นจิต ไม่เห็นธรรม
อภิญญา ทำความสงบของใจเข้ามา พอใจสงบแล้วไปรู้สิ่งนั้นรู้สิ่งนี้ รู้ส่งออก ส่งออกหมดเลย รู้ธรรมะแจ้วๆๆ เลย แต่ไม่รู้จักใจของตน ไม่เป็นสัมมาสมาธิ ไม่เป็นสัมมา
สัมมาคือความถูกต้องดีงาม ถ้าความถูกต้องดีงาม จิตสงบแล้วถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความจริงนะ มันสะเทือนกิเลส
พอมันสะเทือนกิเลส ในสติปัฏฐาน ๔ มีกาย พิจารณากาย กายานุปัสสนา มีเวทนา เวทนานุปัสสนา มีจิต จิตตานุปัสสนา มีธรรม ธรรมานุปัสสนา
ถ้าในสติปัฏฐาน ๔ มีกาย มีเวทนา มีจิต มีธรรม แต่ในกายไม่มีสติปัฏฐาน ๔ ในเวทนาไม่มีสติปัฏฐาน ๔ ในจิตไม่มีสติปัฏฐาน ๔ ในธรรมไม่มีสติปัฏฐาน ๔ ไม่มี ไม่มีเพราะอะไร
เพราะมันไม่เป็นสัจจะความจริง มันไม่มีจิตเป็นผู้ค้นคว้าไง มันมีตำรา มันมีแต่ชื่อ มันเป็นชื่อ ชื่อสติปัฏฐาน ๔ แล้วได้ชื่อมันมาแล้วก็คิดว่าตัวเองจะทำได้ ตัวเองจะทำเป็น แล้วก็ทำไม่เป็นหรอก
นี่พูดถึงว่า ถ้ามันเป็นมิจฉาสมาธิ เป็นสมาธิ ในลัทธิศาสนาใดก็สอนสมาธิ ในการทำสมาธิ ทำสมาธิคืออะไร คือจิตจดจ่ออยู่กับอารมณ์อารมณ์หนึ่ง จิตจดจ่อ
แต่ถ้าเป็นสมาธิเอง สมาธิเป็นสัมมาสมาธิ มันไม่พาดพิงอารมณ์ใด ตัวมันเองเป็นสมาธิไง พอสมาธิมันยกขึ้นสู่วิปัสสนา นี่พูดถึงว่าถ้ามันเป็นการภาวนาตามความเป็นจริง
แต่นี้ถามว่า เวียนเทียนมันจะเวียนซ้ายหรือเวียนขวา
ถ้าเวียนซ้ายเป็นประเพณีวัฒนธรรม ถ้าเราเห็นประชาชน เห็นสังคม ถ้าเขาทำคุณงามความดีมันก็เรื่องของเขา มันเรื่องของเขานะ ถ้าเรื่องของเขา ถ้าเขาทำคุณงามความดี ถ้าสังคมเขาสามัคคีกัน เขาร่มเย็นเป็นสุข เราก็สาธุ แต่ถ้าเราชื่นชมดีงามไปกับเขา
แต่นี้มันเป็นคำถาม มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม มันเป็นเรื่องวัฒนธรรม เรื่องของสังคม ไม่ใช่เรื่องของเรา
เราต้องเอาสารคุณของเราสิ ถ้าเอาสารคุณ ไปวัดไปวาไปฟังธรรม ไปวัดไปวา ข้อวัตรปฏิบัติ ไปเห็นสิ่งใดที่เป็นบัณฑิต เป็นคุณงามความดี เราก็ชื่นชม สิ่งใดที่มันเป็นโทษ เราก็ไม่ไปยุ่งกับเขา เราก็วางไว้ เราบังคับให้ทุกคนมีความเห็นอันเดียวกันไม่ได้ ถ้าเขาเห็นผิดของเขามันเรื่องของเขา แต่เวลาถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเรา ศีล อธิศีล ศีลที่มันละเอียดลึกซึ้งเข้าไป เราจะรักษาเรา
บอกว่า อ้าว! ก็มันเวียนซ้ายหรือเวียนขวา มันผิดหรือมันถูก ถ้ามันถูกแล้วจะไม่เป็นมุสา
เขาทำของเขาเป็นเรื่องของเขา ไอ้เรื่องของเราเป็นเรื่องของเรา ถ้าเรื่องของเรา เราจะเอาสาระของเรา
ไอ้เรื่องนี้เป็นประเพณีวัฒนธรรม มันเป็นบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ที่มีวัตถุอยู่ในบรรจุภัณฑ์นั้นจะส่งไปถึงไหน จะเป็นของเราหรือของใคร
นี่ก็เหมือนกัน ประเพณีวัฒนธรรมเพื่อสังคม เพื่อร่างกายของเรา แต่จิตใจของเรา จิตใจเรื่องภายในของเรา ถ้าเรื่องภายในของเรา เราจะเอาสารคุณ ถ้าเอาสารคุณขึ้นมา เรื่องนี้เป็นเรื่องภายนอก ถ้าเรื่องภายนอก
สารคุณของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา
วันนี้วันพระ โยมไปใส่บาตรที่วัดแล้วถือศีล เราไปใส่บาตรที่วัดนี่ระดับของทาน ทานเราเสียสละเพื่อหัวใจยอมรับฟังเหตุฟังผล ถ้าเป็นศีล ศีลคือว่าไม่ให้จิตใจมันไปหยิบไปจับไปฉวยสิ่งที่ไม่ดีงามเข้ามาสู่ใจของตน ศีลคือฝึกหัดไว้ พอฝึกหัดจนถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันเป็นปกติ มันไม่ไปนะ มันรู้ของมัน แต่ถ้าพอรู้ของมัน เราจะทำสมาธิของเรา เราทำสมาธิของเรา เราเข้ามาที่นี่ เราทำสมาธิของเรา
แต่ถ้ามันเป็นการเวียนซ้ายเวียนขวา มันเป็นแต่ละท้องที่เขาเป็นอย่างนั้นได้ แต่เราบอก “อยากกราบเรียนพระคุณเจ้าเรื่องนี้ค่ะ”
มันก็เป็นเรื่องของเขา เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูด เวลาถึงหน้าเขาไปบูชาพระธาตุพนม พระเขาไปกันเต็มเลย แล้วเวลาเขาไปเขาก็แวะไปกราบหลวงปู่มั่นน่ะ หลวงปู่มั่นบอก พวกนี้พวกหลงธาตุ หลงธาตุๆ พระธาตุพนม
เราไปกราบไปไหว้สิ่งที่เป็นเจดีย์ สิ่งที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว พระอานนท์ถามว่า ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้วจะระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปที่ไหน
ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ สังเวชนียสถานทั้ง ๔ ที่เกิด ที่แก่ ที่เจ็บ ที่ตายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเขาสร้างขึ้นมาเขาก็เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้กราบไหว้บูชากัน มันเป็นเรื่องของสังคม เรื่องของสาธารณชน เรื่องของแว่นแคว้นที่ทำให้เป็นความปึกแผ่น
ในสังคมนิยมเขาบอกว่าเรื่องอย่างนี้หลอกลวงกันเลยแหละ หลอกลวงเพื่อเอาศาสนามาปกครอง เขาพูดอย่างนั้นนะ เวลาพวกคอมมิวนิสต์เวลาเขาวิเคราะห์เรื่องศาสนาน่ะ
แต่นี้เวลาหลวงปู่มั่นท่านไม่ว่าอย่างนั้น หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า เพราะหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ท่านไปพบเอง พระธาตุพนม แล้วท่านไปทำความสะอาดครั้งแรกเลย แล้วเสร็จแล้วท่านก็ไว้ให้เป็นสมบัติของสังคม แล้วเวลาจริงๆ ท่านก็มาประพฤติปฏิบัติเอาหัวใจของเรา เอาสัจจะความจริง เอาศีล สมาธิ ปัญญา เอามรรคเอาผล
เวลาได้มรรคได้ผลขึ้นมาแล้วสาธุ จิตใจของเราผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม
แต่คนที่ยังไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์เขาก็พยายามเพื่อไปกราบไหว้เพื่อเป็นบุญกุศลของเขา เพื่อเป็นความมั่นใจในหัวใจของเขา มั่นคงในหัวใจของเขา เรื่องพระพุทธศาสนา เขาไปไหว้เจดีย์ธาตุต่างๆ
เวลาหลวงปู่มั่นบอกว่า “นี่หลงธาตุๆๆ”
ธาตุภายนอกไง เจดีย์ก็เป็นอิฐหินทรายปูน มันก็เป็นธาตุดิน มันมีเหล็ก มันมีธาตุดินทั้งนั้นน่ะ นี่หลงธาตุ เวลาธาตุรู้ ธาตุรู้คือธาตุในหัวใจของเราไง
นี่เขาถามว่า “เลยอยากกราบเรียนถามหลวงพ่อ กราบเรียนพระคุณเจ้า”
นั่นเป็นเรื่องประเพณีวัฒนธรรมที่เราจะขีดเส้นบรรทัดให้เป็นเหมือนกันหมด มันเป็นไปไม่ได้ แล้วมันเป็นไปไม่ได้นะ เวลาเราบวชใหม่ๆ ยิ่งปวดหัวมากกว่าโยมอีก
เวลาปฏิบัติไป หาครูบาอาจารย์นั้นก็สอนอย่างนั้น ครูบาอาจารย์นี้สอนอย่างนี้ ไปไหนมา สามวาสองศอก ไอ้ผู้ที่ภาวนาไม่เป็นแล้วสอนนี่มากมายมหาศาลเลย จนปวดหัว ปวดหัวแล้วไปไม่ถูก
แต่ด้วยบุญ ธุดงค์ไปทางภาคอีสานไปเจอพระ พระบอกว่า “ถ้าเอ็งมาอีสานนะ...” ตอนนั้นบ้านตาดท่านก็มีชื่อเสียงมาก แต่ยังไม่ได้เข้า เลยไปก่อน ไปสว่างแดนดิน พระบอกเลย “ถ้าเอ็งมาอีสาน เอ็งไม่ได้ไปภูทอก เอ็งเหมือนไม่มาอีสาน”
“จริงหรือวะ” ก็เลยเข้าไป
วาสนานะ ไปกราบหลวงปู่จวน แล้วไปอยู่หลายๆ วันเข้า เวลาท่านเทศน์ เราถามเลย ว่างๆๆ นี่มันอะไร เพราะว่าอวิชชาดับมันต้องเป็นพระอรหันต์ ทีนี้พอเป็นสมาธิ เข้าใจว่าตัวเองอวิชชาดับหมด เข้าใจว่า
ท่านบอกเลย “อวิชชาอย่างหยาบๆ ของเอ็งสงบตัวลง อวิชชาอย่างกลางในหัวใจของท่านเยอะแยะไปหมดที่ท่านไม่เห็น อวิชชาอย่างละเอียดที่มันสะสมในจิตใต้สำนึกอีกมหาศาลเลย”
เออ! งง
ทีแรกบอกว่าอวิชชามันดับใช่ไหม ก็เป็นคนเก่งไง คนที่ทำปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติแล้วควรจะได้ผลแล้วมันไม่ได้ผล มันหันรีหันขวางหมดน่ะ แล้วใครก็ตอบไม่ได้ ใครก็ตอบไม่เป็น ไปไหนมา สามวาสองศอก เขาพูดกันแต่เรื่องฤทธิ์เรื่องเดชเรื่องอะไร
เรื่องฤทธิ์เรื่องเดชมันพูดมันเป็นเรือไม่มีหางเสือวนอยู่นั่นน่ะ มันวนไปวนมา วนมาวนไป มันไม่มีขึ้นต้น ท่ามกลาง และสิ้นสุด มันไม่จบไง
แต่ถ้าเป็นมรรค มันมีเริ่มต้น ท่ามกลาง และที่สุด มันมีการกระทำที่มันจบสิ้นกันได้ กิเลสจับต้องได้ ยกขึ้นวิปัสสนาได้ ฆ่ามันได้ ทำลายได้
พอเจอครูบาอาจารย์ เออ! ไม่เคยได้ยินอย่างนี้ว่ะ มีแต่วนไปวนมาอยู่นั่นน่ะ
เวลาเราบวชใหม่ๆ เราเจอปัญหานี้มาเยอะมาก ๒ ปีแรก โอ้โฮ! จับพลัดจับผลูนะ ทั้งๆ ที่ว่าไฟแรงมาก บวชพรรษาแรกไม่นอนเลย เนสัชชิกตลอด ทั้งๆ ที่ไม่มีครูบาอาจารย์ อ่านในตำรา แล้วไม่นอน ง่วงนอนเกือบตาย
ถึงได้เข้าใจคำอีสาน หิวนอนนี่มันทุกข์ขนาดไหน หิวนอน ง่วงนอนสุดๆ อู้ฮู! ทรมาน หิวข้าวอะไรไม่ทุกข์เท่าหิวนอน ภาษาอีสาน หิวนอนไง หิวนอน โอ้โฮ! มันทุกข์ขนาดนี้
นั่นน่ะ แล้วมันก็ปฏิบัติมาๆ เวลาไปเจอครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ ท่านมีหางเสือ มีเข็มทิศชี้หนทาง ชี้ช่องทางที่ถูกต้อง ไม่เหมือนเรือไม่มีหางเสือ ไปไหนมา สามวาสองศอก ถามช้าง ตอบม้า ถามม้า ตอบวัว ตอบควาย ตอบบ้าบอคอแตก
แล้วบวชใหม่ๆ พระที่บวชก่อนห่มผ้าสีดำๆ เขาว่าห่มผ้าสีดำๆ นี่เคร่ง จะต้องมีความจริง เราไม่มีกึ๋นเลย เราไม่มีความรู้อะไรเลยที่จะไปวัดว่าถูกหรือผิดได้เลย
แต่เวลาไปเจอหลวงปู่จวนดอกแรกเลย ผัวะ! เออ! กูอยู่นี่แหละ กูไม่ไปไหน กูอยู่นี่ก่อน แล้วก็ อู้ฮู! เริ่มต้นจริงจังที่นั่นเลย เพราะว่าท่านเองก็เป็นตัวอย่าง แล้วความจริง มาสิ ถามมาสิ
เหมือนไปหาหมอ หมอบอก คนป่วยมาสิ โรคอะไรรักษาหายหมด โอ๋ย! เราวิ่งเข้าไปเลยนะ ไอ้นี่มะเร็งไปเถอะ “กลับไปดูอาการที่บ้าน กลับไปดูอาการที่บ้าน” ไอ้นี่บอก “มาเลยๆๆ” เราเองต่างหากไม่จริง เพราะผู้จริงมีอยู่แล้ว
นี่เหมือนกัน เวลาที่บวชใหม่ๆ มันเป็นอย่างนี้ นี่ผู้ที่ปฏิบัติใหม่ เรายิ่งเห็นใจมากกว่าเราด้วยนะ เพราะอะไร เพราะเรื่องประเพณีวัฒนธรรม
แล้วตอนนี้นะ ททท. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกำลังจับประเพณีเอาไว้ท่องเที่ยวเลย ไปแล้วอลังการเลยนะ แสงสีเสียง โอ้โฮ! หลับเลย พอไปเจอแล้วอึ้งเลย แล้วถูกหรือผิดล่ะ ไม่ต้องถามหลวงพ่อมาอีกนะ ถ้าททท.จัดไม่ต้องถาม อันนั้นเขาจัดไว้เพื่อการท่องเที่ยว
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ประเพณีวัฒนธรรมเขาให้พวกเรา เราชื่นชมนะ เราชื่นชมว่าสังคมมันสามัคคีกัน สังคมชาวพุทธรักใคร่สามัคคีกัน ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แค่นี้เราว่าสังคมดีแล้ว พุทธมามกะระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ไอ้นั่นประเพณีวัฒนธรรม เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจบ ๙ ประโยคมา จบ ๙ ประโยคมาทรงจำธรรมวินัยนี้ไว้ ศึกษาปริยัติมาเพื่อปฏิบัติ
ศึกษาจนจบแล้วไม่รู้อะไรเลย รู้แต่ทฤษฎีทั้งสิ้น สติจริงๆ ก็ยังตั้งไม่ได้เลย ถ้าสติจริงๆ ตั้งได้มันจะระลึกได้ทันทีนะ ถ้าสติเราดีๆ เราจะรู้ผิดชอบชั่วดี เอ๊อะ! เอ๊อะ! อันนี้ไม่ดี อันนี้ไม่ดี
สติดีๆ นี่นะมันรู้เลย สตินี่ตั้งให้ดีๆ พอตั้งให้ดีๆ มันเริ่มจะหดสั้นเข้ามา สิ่งที่แบบว่ามันกระจายไปทั่ว ฟุ้งไปทั่ว สงสัยไปทั่ว มันจะหดสั้นเข้ามา อันนี้ไม่ใช่ อันนี้ใช่ แต่ใช่ ยังทำไม่ได้ ใช่ ยังทำไม่ได้แต่ก็พยายามทำ แต่ก่อนไม่ใช่อย่างนั้น มันไม่รู้อะไรเลย แต่พอสติดีๆ เข้ามามันจะหดสั้นเข้ามาๆ
ธรรมะพระพุทธเจ้าถูกต้อง คำสอนพระพุทธเจ้า มรรค ๘ ใช่ ทุกอย่างใช่ แต่เรายังทำไม่ได้ เรายังทำสิ่งที่ใช่ถูกต้องดีงามให้เป็นสมบัติของเราไม่ได้ แล้วศึกษาทรงจำธรรมวินัยไว้ ปริยัติเพื่อมาปฏิบัติ แล้วเวลามาปฏิบัติขึ้นมา เพราะมันรู้มากไง ทำสมาธิไม่ลงหรอก เอ๊อะ! เอ๊อะ! เกือบได้สมาธิแล้ว เอ๊อะ! เอ๊อะ! อย่างนี้เป็นสมาธิ เอ๊อะ! เอ๊อะ! อยู่นั่นแหละ ตายเปล่า แล้วทุกข์มาก
ทีนี้หลวงปู่มั่นท่านถึงสอนไง ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานี่สุดยอด คุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายอดเยี่ยม แล้ววางธรรมและวินัยนี้ไว้ให้เราศึกษา พอศึกษาจบแล้วให้เก็บใส่ลิ้นชักสมองไว้ แล้วล็อกกุญแจมันไว้อย่าให้มันออกมา แล้วเราก็ปฏิบัติของเราไป ฝึกหัดของเราไปให้เราทำให้มันได้จริง ถ้ามันได้จริงแล้วนะ ความจริงอันนั้นกับสิ่งที่ศึกษามามันจะเป็นอันเดียวกันเลย
แต่ถ้ายังไม่ได้ปฏิบัติขึ้นมา มันจะคอยสร้างภาพ มันคอยสร้างภาพ มันรู้โจทย์แล้ว มันจะตอบโจทย์โดยความ...แล้วเราปฏิบัติไปมันทุกข์มันยาก พอมันทุกข์มันยากขึ้นไปมันก็จะมีคำตอบ พอมีคำตอบ ไอ้นั่นก็ใช่ ไอ้นี่ก็ใช่ มันทำให้การปฏิบัตินี้สับสนไปหมดเลย
หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า
ศึกษามาแล้วให้วางไว้ แล้วปฏิบัติของเราให้ได้
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ปริยัติศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ แต่เวลาศึกษามาแล้ว ปฏิบัติครึ่งๆ กลางๆ ปฏิบัติแล้วรู้ไม่รู้ แต่การศึกษานั่นมันรู้ มันเกิดจินตมยปัญญา เกิดจินตนาการเรื่องธรรมะขึ้นมา
แล้วจิตใจของคนที่ประพฤติปฏิบัติแล้วมันจะสงบขึ้นมาบ้าง มีกำลังขึ้นมาบ้าง มันจินตนาการได้สุดยอดเลย ถ้าจินตนาการได้สุดยอด นามปากกาของใครมันเขียน อู๋ย! สุดยอดเลย เรื่องจริงเรื่องเท็จเขียนไปหมดเลย แต่มันไม่จริงกับใจอันที่เป็นจริง
ถ้าเป็นจริงขึ้นมา เวลาศึกษามา เวลาว่า ๙ ประโยค ศึกษามาแล้ววางไว้แล้วเราปฏิบัติของเรา แล้วปฏิบัติเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก หลวงตาท่านยืนยันเลย
เขาบอกว่า ถ้าปฏิบัติแล้วเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามีต้องมีคนยอมรับ ต้องให้พระพุทธเจ้าการันตี
หลวงตาท่านพูดเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกให้สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ปัจจัตตังรู้จำเพาะตน สันทิฏฐิโก รู้ความเป็นจริงในใจของตน เป็นสันทิฏฐิโก รู้แจ้งในหัวใจชัดเจนเลย
แต่เราก็รู้แจ้ง แต่รู้แจ้งแบบกิเลสปิดตาไง รู้แจ้งแบบเข้าข้างตัวเองไง รู้แจ้งแบบพอใจ กูพอใจก็แจ้ง ไม่พอใจก็ไม่แจ้ง แต่มันไม่ใช่
มันไม่ใช่เพราะว่า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นโรงงานใหญ่ ท่านได้สร้างลูกศิษย์ลูกหาไว้มหาศาล แล้วเจ้าคุณจูมธรรมเจดีย์ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นด้วยกัน แต่หลวงปู่มั่นส่งให้ไปเรียนศึกษาจนเป็นเจ้าคณะภาค พอเป็นเจ้าคณะภาค เป็นอุปัชฌาย์ของหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว หลวงตาพระมหาบัว เป็นอุปัชฌาย์ของกรรมฐานทั้งภาคอีสานเลย ถ้าเป็นอุปัชฌาย์ นี่ลูกศิษย์ท่านทั้งนั้น
ทีนี้เวลาท่านเรียนจบ ๖ ประโยคหรืออย่างไร แล้วเวลาท่านเป็นเจ้าคณะภาค ท่านต้องการความมั่นคงในศาสนา ท่านก็เอาหลวงปู่ฝั้น เอาหลวงตามาคุยธรรมะกัน มันเป็นธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
หลวงตาท่านขึ้นไปหาหลวงปู่แหวนไปสอบธรรมกัน ไปสอบธรรมะกัน สอบว่าไอ้รุ่น “เราสู้ เราสู้” นั่นน่ะ ท่านเห็นทำไมไปออกเหรียญอย่างนั้น
เวลาไปหาหลวงปู่แหวน ท่านถามปัญหาแรก สติปัฏฐาน ๔ เวลาจิตสงบแล้วพิจารณากายอย่างไร หลวงปู่แหวนตอบพับ! พอมันถูก มันถูกก็ถามอีกเลย ถามถึงว่าอวิชชามันสิ้นกันอย่างไร จบหมดน่ะ
ถึงบอกว่า มันเป็นธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
เจ้าคุณจูมธรรมเจดีย์ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นฝ่ายปกครอง ฝ่ายปริยัติ เป็นเจ้าคณะภาค แล้วเวลาเจ้าคณะภาคเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา อยู่ในการปกครองสงฆ์ มันเข้าใจเรื่องของสงฆ์ แล้วเอาสงฆ์ที่เป็นจริงๆ โธ่! ถ้าไม่จริงท่านก็ไม่ยอมรับ ท่านเป็นถึงเจ้าคณะภาค ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ท่านก็ไปเอาพระที่เป็นจริงๆ มาธมฺมสากจฺฉา
ถ้าพูดถึงทางโลก พูดถึงทางโลกนะ พูดถึงทางฝ่ายทฤษฎีก็บอกว่าเป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกไง
ไอ้นี่สังคายนาธรรม เอาธรรมะกับธรรมะมาจับกันน่ะ แล้วเอาธรรมะที่เป็นจริงไง เอาพระมหาบัวไปคุยกับหลวงปู่ขาว สิ่งที่ว่าเอาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมที่สังคมยกย่องว่าพระอรหันต์ๆ เอาพระอรหันต์กับพระอรหันต์มาตรวจสอบกันน่ะ
นี่พูดถึงว่า ถ้าผู้ที่เป็นธรรมนะ ท่านทำเพื่อประโยชน์ศาสนา เพื่อความสะอาด เพื่อความบริสุทธิ์ เพื่อความดีงามของศาสนา ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีพรรคไม่มีพวก ไม่มีใครทั้งสิ้น เอาความจริงๆ เอาความจริงมาตรวจสอบกัน
เจ้าคุณจูมธรรมเจดีย์นี่แหละท่านเป็นคนทำ เป็นคนจัดการนิมนต์พระมา นิมนต์พระมาเพราะอะไร นิมนต์พระมาเพราะว่าเป็นลูกศิษย์ท่านทั้งหมด ท่านเป็นอุปัชฌาย์บวชให้หมดเลย ท่านบวชให้เป็นสมมุติสงฆ์ แล้วไปอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นฝึกหัด หลวงปู่เสาร์ฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาสั่งสอนอบรมบ่มเพาะเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา
แต่เวลาบวช บวชกับเจ้าคุณจูมธรรมเจดีย์ เวลาปฏิบัติขึ้นไป ไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นอบรมบ่มเพาะ หลวงปู่มั่นแก้ไขจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ นี่ไม่หลงธาตุ หลวงปู่มั่นบอกว่าธาตุภายนอกไง
นี่เหมือนกัน คำถามที่เวลาเราเห็น ใครที่เห็นใหม่ๆ เป็นอย่างนี้ เวลาเราอยู่กับโลก เราก็ชื่นชมกับโลก เวลาเรามาปฏิบัติปั๊บ เราก็อยากจะหาความจริง หาความถูกต้องดีงาม
เวลาไปตามวัดตามวาเวียนซ้ายเวียนขวาก็เป็นปัญหาแล้วนะ กินข้าวช้า กินข้าวเร็ว กินข้าวแล้วล้างจานไม่ล้างจาน เดี๋ยวมาฟ้องกูหมดเลย
มันเป็นพื้นที่ของเขา ถ้าหัวหน้าที่ดีเขาจะดูแลวัด ดูแลสังคมของเขาให้ดี การดูแล เห็นไหม สัทธิวิหาริก ลูกศิษย์ของใคร ครูบาอาจารย์ที่ดีเขาจะดูแลลูกศิษย์ลูกหาแล้วพยายามทำให้มันถูกต้องดีงาม
วัดไหน สังคมไหนที่มีหัวหน้าที่ดี เขาก็จะดูแลสัทธิวิหาริกในสังคมของเขาให้ดีงาม แล้วเวลาเราไปในสังคมต่างๆ เราก็ไปเพื่อพึ่งพาอาศัยเขา ถ้าสิ่งใดที่ถูกต้องดีงามเราก็ชื่นชม สิ่งใดที่ไม่ถูกต้องก็วางไว้ ถ้าพูดได้ก็พูด ถ้าพูดไม่ได้ก็เรื่องของเขา เรื่องของเขานะ
แล้วเวลาในพระไตรปิฎก เราเที่ยวธุดงค์มาทั่ว เวลาที่ไหนเขาทำผิดพลาด เขาทำไม่ถูกต้อง ไปนั่งธมฺมสากจฺฉา คือโต้แย้งกันก่อน แต่เขาไม่เห็นด้วย เขาจะลงอุโบสถอย่างนั้น
เราอ่านพระไตรปิฎกมาหลายรอบแล้ว อ่านพระไตรปิฎกตั้งแต่สมัยพระสารีบุตรจะไปแก้ไขชาววัชชีบุตร แล้วร้ายกาจมาก พระพุทธเจ้าบอก ให้เธอเอาพระไปมากๆ เอาพระไปมากกว่าแล้วทำทัฬหีกรรมไล่เขาออกจากพื้นที่ไป อย่าให้ไปยึดพื้นที่ให้ประชาชนเขาโดนหลอกลวง
แล้วเวลาไปสังคมไหนนะ ถ้าเขาโหดร้าย ถ้าเราพูดไปแล้วมันจะขัดแย้ง มันจะเป็นโทษ ให้ค้านไว้ในใจ
เพราะสภาคกรรม มันเป็นโมฆะเป็นโมฆียะในการลงอุโบสถสามัคคี ถ้าเราร่วมไปแล้วมันเป็นกรรมร่วม สภาคกรรมๆ
เราอยากได้กรรมดี เราอยากได้พันธุกรรมของจิต อยากได้การประพฤติปฏิบัติที่สะดวก ที่ไม่มีเชื้อโรคต่างๆ เวลาเขาทำสิ่งใดกันมันจะมีผลกับจิตของเรา เราค้านไว้ในใจ
เราไปเจอสังคมหนึ่งเขาลงอุโบสถ เขาไปเอาพวกที่ไปอยู่กรรม อยู่สังฆาทิเสส เขาเก็บแล้วมาลง เราบอก ลงไม่ได้ เขาเก็บไว้เพื่อไม่ต้องลง แต่ไม่ให้เอามาลง แต่เขาเอามาลงเลย ไปลงปั๊บ เป็นโมฆะเลย เพราะอะไร
มันเหมือนไม่ได้เป็น ส.ส. แล้วเข้าประชุม ส.ส. การโหวตนั้นใช้ไม่ได้ การโหวตนั้นมันเป็นฉันทามติ ต้องค้านไม่ได้ แล้วเอาคนเข้ามาค้านนี่เสียทันทีเลย แต่เขาบอก ได้ เพราะอาจารย์เขาสอนอย่างนั้น
โอเค ได้ก็ได้ แต่เราค้านไว้ ไม่เห็นด้วย เพราะเราไม่ยอมรับกรรมอันนี้ด้วย
เราเที่ยวมา เราเที่ยวมาในสังคมเราเห็นมาทั้งนั้นน่ะ บางอย่างเราพูดไม่ได้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนแก่กล้ามากนะ ถกกันเรื่องวินัยนี่ไม่กลัวใครทั้งสิ้น ถกชนะหมดน่ะ แต่ชนะแล้วเขาไม่ฟัง เขาจะทำอย่างนั้น ถ้าทำอย่างนั้น เราค้านไว้ในใจ
คือว่าทำก็ทำกันไป แต่เราไม่รับรู้ด้วย เสร็จแล้วพอเสร็จจากกิจกรรมนั้นเราก็ธุดงค์ต่อไป ออกจากนั้นไป ไม่อยู่ เราไปของเราเรื่อย
นี่พูดถึงในสังคมพระนะ แล้วมันจะมีอย่างนี้ แต่เราไม่เอามาพูดเพื่อให้มันแตกแยกกัน เดี๋ยวก็นั่งจับผิดกันนะ สังคมนั้นถูก ไม่ใช่
วัยวุฒิ คุณวุฒิสูงต่ำ ถ้ามันด้อยค่ามันก็ตีความอย่างนั้น ถ้าคุณวุฒิมันสูงขึ้นมามันก็จะวินิจฉัยตีความถูกต้องดีมากขึ้น มันอยู่ที่วัยวุฒิ คุณวุฒิของเขา
เราไม่ไปบังคับให้คนที่อ่อนด้อยมีคุณวุฒิ เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปไม่ได้ สังคมเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนั้น มันเป็นกรรมของสัตว์ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ใครเชื่ออย่างไร มองอย่างไร เห็นอย่างไร มันเรื่องของสัตว์โลก
แต่สังคมที่ดีมี อยู่ที่ว่าเอ็งมีตาหรือเปล่า เอ็งเลือกเป็นหรือเปล่า ถ้าเลือกเป็น ทำเป็น มันก็ดีขึ้น
นี่พูดถึงว่า ในสังคมเราจะไปจัดอย่างนั้นน่ะ ในพระไตรปิฎกหลวงตาพูดบ่อย เปรตจะไปจัดสังคมให้ดีงามไง เขาไปในที่พักคนเดินทาง มีคนนอนอยู่เต็มเลย เปรตมันไปเห็น โอ๋ย! นอนไม่เรียบร้อย มันก็จัดเท้าให้ตรงกันเปี๊ยะเลย แล้วไปมองทางศีรษะ ศีรษะไม่เท่ากัน มันก็จัดศีรษะให้เท่ากันเปี๊ยะเลย แล้วก็มามองทางเท้า ทางเท้ามันเหลื่อมกันอีกแล้ว
เปรตน่ะ เปรตจัดคนเดินทางให้เสมอกัน จัดทางศีรษะเท่ากัน ทางเท้าก็ไม่เท่ากัน กลับมาจัดทางเท้าให้เท่ากัน ทางศีรษะก็ไม่เท่ากัน
แล้วเมื่อไหร่มันจะเท่ากัน แล้วเมื่อไหร่มันจะเท่ากัน
นี่ก็เหมือนกัน คำถามไง คำถามว่า สังคมเราจะดีงามไปหมด เมื่อไหร่ จะให้สังคมชาวพุทธปฏิบัติถูกต้องทุกคน เมื่อไหร่
เปรตริมทาง เปรตจะไปจัดสังคม
ฉะนั้น อย่าไปยุ่งกับเขา เราไปที่วัดใดก็แล้วแต่ ไปอาศัยพึ่งพาเขาก็ไปอาศัยพึ่งพาเขา แล้วถ้าไปที่อื่นก็เรื่องของเรา เรื่องของเขา สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เอวัง